เรื่องที่ 2 แนวทางการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
@ เรื่องที่ 2.1 ลักษณะและประเภทของเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
การวิจัยในชั้นเรียนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการเรียนการสอนในห้องเรียน
ดังนั้นเอกสารที่
เกี่ยวข้อง จึงเป็นเอกสารที่ครูใช้อยู่เป็นประจำ เช่น
หลักสูตร คู่มือการสอน แบบเรียน
เป็นต้น ได้มีการจัดประเภทของเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็น 3 ประเภท คือ
1.
เอกสารอ้างอิงทั่วไป
เป็นเอกสารที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเอกสาร
ได้แก่ ชื่อผู้เขียน ชื่อเอกสาร
ชื่อโรงพิมพ์ เมืองที่พิมพ์
ฉบับที่พิมพ์
เอกสารอ้างอิงที่สำคัญได้แก่
ดัชนีวารสาร บทคัดย่อ งานวิจัยบทคัดย่อบทความ รายการเอกสาร
2.
เอกสารปฐมภูมิ
เป็นเอกสารที่ผู้เขียนเสนอความคิดและประสบการณ์ของตนโดยตรง
จึงเป็นเอกสารที่จัดว่าเป็นข้อมูลแหล่งปฐมภูมิและมีความน่าเชื่อถือสูง
มีคุณค่าต่อการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ
กับการวิจัยเป็นอันมาก เอกสารประเภทนี้ ได้แก่
บทความและผลงานวิจัยในวารสารวิชาการ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์หรือปริญญานิพนธ์
3. เอกสารทุติยภูมิ
เป็นเอกสารที่ผู้เขียนศึกษาผลงานทางวิชาการผู้อื่น
แล้วนำเสนอเป็นผลงานทางวิชากา
การใช้เวลาศึกษาจึงน้อยกว่าการศึกษาจากเอกสารปฐมภูมิ
เอกสารประเภทนี้ ได้แก่ หนังสือหรือตำรา พจนานุกรม สารานุกรม
ปริทัศน์งานวิจัย คู่มือ รายงานประจำปี
เอกสารต่าง ๆ
ดังกล่าว ผู้วิจัยจะค้นหาได้ที่ห้องสมุดของหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งมีบริการต่าง ๆ เช่น
บริการให้ยืมหนังสือ เอกสาร บริการตอบคำถามและช่วยค้นคว้า
บริการสืบค้นเอกสารด้วยคอมพิวเตอร์ บริการถ่ายเอกสาร เป็นต้น
@ เรื่องที่ 2.2 หลักเกณฑ์การคัดเลือกเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
เนื่องจากเอกสารต่าง ๆ
และผลงานวิจัยในแต่ละสาขาวิชานั้นมีเป็นจำนวนมาก เช่น
ผลงานวิจัยก็มีทั้งงานวิจัยในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งได้มีการวิจัยกันมานานแล้ว
การศึกษา
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
ยิ่งศึกษามากก็ยิ่งเป็นผลดีต่อการวิจัยของเรา ทำให้การวิจัยมีความหมายมากขึ้น แต่ปัญหาวิจัยบางเรื่องก็หาเอกสารที่เกี่ยวข้องได้น้อย
เพราะว่าไม่ค่อยมีผู้วิจัยในเรื่องนั้น ซึ่งครูผู้วิจัยต้องพยายามค้นหา
เพราะเหตุการณ์ต่าง ๆ
ในโลกนี้เกี่ยวข้องกันทั้งนั้น ผู้วิจัยจำเป็นต้องคัดเลือกผลงานวิจัยที่เห็นว่าเกี่ยวข้องมากที่สุดมาพิจารณา
โดยมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือกดังนี้
1.
เอกสารนั้นต้องทันสมัยเหมาะสมกับงานของผู้วิจัย
เป็นความรู้ใหม่ ๆ ทันต่อเหตุการณ์
2.
มีเนื้อหาตรงกับที่ผู้วิจัยต้องการ คือ
เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือตรงกับเรื่องที่ผู้วิจัย
ทำการศึกษา
3.
มีภาพ
ตาราง กราฟ หรือแผนที่ (ถ้ามี) ถูกต้อง
ชัดเจนและเพียงพอ
4.
ใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย สมเหตุสมผล
ไม่ลำเอียง มีบรรณานุกรม ทำให้ผู้อ่านสามารถ
ตรวจสอบเรื่องที่อ้างกับของเดิมได้
และเป็นแนวทางให้ผู้วิจัยใช้ศึกษาค้นคว้าต่อไปได้ด้วย
5.
ผู้เขียนเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในงานที่เขียนเป็นอย่างดีหรือไม่
ผู้วิจัยทราบว่าผู้ใดบ้างที่ได้รับการยกย่องว่าเชี่ยวชาญในสาขาใด
ย่อมจะช่วยให้วินิจฉัยคุณค่าของหนังสือหรืองานวิจัยได้ง่ายขึ้น
6.
หนังสือหรือเอกสารที่ศึกษาต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องเชื่อถือได้
ซึ่งผู้วิจัยอาจตรวจสอบ
จากข้อความที่ผู้วิจัยมีความรู้อยู่แล้ว
หากพบว่าผิดก็อาจสันนิษฐานได้ว่าตอนอื่น ๆ อาจไม่ถูกต้องอีกก็ได้
7.
ควรเลือกหนังสือหรือเอกสารที่พิมพ์ที่เชื่อถือได้
เพราะสำนักพิมพ์บางแห่งจะเลือก
พิมพ์เฉพาะผลงานที่ดี
ๆ เท่านั้น
สำนักพิมพ์เหล่านี้มักจะมีกรรมการ
เพื่อพิจารณาผลงานที่จะพิมพ์ ดังนั้นหากเป็นหนังสือที่พิมพ์จากสำนักพิมพ์ดังกล่าว ก็จะช่วยให้ผู้วิจัยเลือกหนังสือศึกษาง่ายขึ้น
@ เรื่องที่ 2.3 การสืบค้นและจัดหาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
การสืบค้นเอกสาร
กระทำเพื่อเป็นการจัดหาเอกสารปฐมภูมิและทุติยภูมิมาศึกษา โดยมีวิธีการสืบค้นอยู่ 2
วิธีคือ
2.3.1 การสืบค้นจากเอกสารอ้างอิงทั่วไปโดยตรง ครูผู้วิจัยสามารถเลือกใช้เอกสารได้ทุกประเภท
โดยเมื่อได้กำหนดลักษณะและประเภทของเอกสารที่ต้องการแล้ว
ก็เริ่มต้นสืบค้นจากเล่มใหม่ล่าสุดก่อน โดยอาศัยคำสำคัญของหัวข้อวิจัย เช่น
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของ
หัวข้อวิจัย นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ที่เรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียน
TAI กับการสอนแบบปกติ
คำสำคัญ/หัวข้อกว้าง
ๆ : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, กิจกรรมการเรียน
TAI, การมัธยม
ศึกษา
เมื่อค้นเอกสารพบแล้วก็บันทึกลงในบัตรบรรณานุกรม
ตามรายการดังนี้
-
ชื่อผู้แต่งและนามสกุล
-
ชื่อหนังสือ ชื่อบทความ หรือชื่อวารสาร
-
ชื่อโรงพิมพ์
และสถานที่พิมพ์
-
วัน
เดือน ปีที่พิมพ์
-
เล่มที่ของวารสาร หน้าไหนถึงไหน
-
เลขหมู่ของหนังสือ
การบันทึกตามรายการดังกล่าว
ให้บันทึกลงในบัตรบรรณานุกรมเพียง 1 ใบ ต่อข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง 1 เล่ม
เมื่อขึ้นเล่มใหม่ก็ให้บันทึกลงในบัตรบรรณานุกรมใบต่อไป
2.3.2
การสืบค้นด้วยคอมพิวเตอร์
ปัจจุบันห้องสมุดต่าง ๆ ทั้งระดับโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย มีการนำ
เอกสารสนเทศบันทึกลงในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์
และพัฒนาโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์สืบค้นแทนการค้นโดยวิธีนี้ใช้เวลาน้อยกว่าวิธีแรกมาก เพียงแต่ผู้ใช้ศึกษาวิธีใช้ซึ่งติดไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้น
ๆ เครื่องจะพิมพ์ข้อมูลเกี่ยวกับบรรณานุกรมของเอกสารที่สืบค้นให้เลย ซึ่งในอนาคตจะใช้การสืบคนวิธีนี้มากขึ้น ครูจึงควรศึกษาวิธีการใช้จากห้องสมุดดังกล่าว
แต่ขณะนี้ข้อมูลของห้องสมุดในโรงเรียนยังมีข้อจำกัดของสารสนเทศในด้านงานวิจัยต่างๆ ซึ่งไม่เพียงพอ
ที่จะศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ครูจะต้องพึ่งเอกสารที่มีอยู่ในห้องสมุดใหญ่ ๆ
โดยเฉพาะห้องสมุดของสถาบันราชภัฏ
ห้องสมุดของคณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ห้องสมุดของคณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมทั้งห้องสมุดของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒวิทยาเขต
ต่าง
ๆ ที่อยู่ใกล้
เมื่อครูได้รายการเอกสารจากบัตรบรรณานุกรมต่าง
ๆ
หรือรายการเอกสารที่พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์แล้ว
ก็ไปจัดหาเอกสารตามชั้นหนังสือที่จัดหมวดหมู่ไว้ และถ่ายเอกสารส่วนที่เกี่ยวข้องเก็บไว้
หรือยืมมาอ่านต่อไป
กิจกรรมที่ 2
https://googledrive.com/host/0B0JZ6wd_AX30SjBQOHpGNTdqa1E/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น