ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นความสามารถทางการเรียนซึ่งเป็นผลจากการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่ง กระทรวงศึกษาธิการ (2521) ได้บัญญัติศัพท์ “ผลสัมฤทธิ์การเรียน” ไว้ในหนังสือประมวลศัพท์ทางการศึกษาว่า ผลสัมฤทธิ์การเรียน หมายถึง ความสำเร็จหรือความสามารถในการกระทำใด ๆ ที่ต้องการอาศัยทักษะ หรือ มิฉะนั้นต้องอาศัยความรอบรู้ในวิชาใดโดยเฉพาะ
อรวรรณ เจือจันทร์ (2536 : 6) ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ และความสำเร็จในการเรียน ซึ่งแสดงออกให้เห็นโดยคะแนนสอบ
สนทนา เขมวิรัตน์ (2542 : 8) ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ หรือ ความสามารถของบุคคล อันได้จากการเรียนรู้และความสามารถที่นำไปใช้แก้ปัญหา และศึกษาต่อไปได้ ซึ่งสามารถวัดด้วยเครื่องมือทางจิตวิทยา หรือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทั่วไป
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
สุรัตน์ อังกรูวิโรจน์ (2532 : 3-7 อ้างใน สุยิน รัตนสุกา , 2544 : 10) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาจะสูงหรือต่ำไม่ได้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบด้านสติปัญญาอย่างเดียว แต่ยังขึ้นกับองค์ประกอบอื่น ๆ ดังนี้
1. ความรับผิดชอบ ถ้าผู้เรียนเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ที่ตนเป็นอยู่ ย่อมจะส่งผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. ความวิตกกังวล สิ่งนี้เกิดจากความขัดแย้งระหว่างความต้องการทางสังคมกับความต้องการทางสัญชาตญาณ ซึ่งถ้ามีมากเกินไปจะไปขจัดความสามรถในการเรียนรู้ ซึ่งจะมีผลกระทบในด้านลบต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3. สภาพของระบบโรงเรียน การที่นักเรียนต้องอยู่ร่วมกันกับเพื่อนในโรงเรียนมีการทำงาน ทำกิจกรรมร่วมกัน การเข้ากลุ่ม การยอมรับซึ่งกันและกันทางสังคมจึงเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของนักเรียน ดังนั้นสภาพสังคมของระบบโรงเรียน จึงส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วย
4. นิสัยและทัศนคติทางการเรียน มีอิทธิพลโดยตรงกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หากนักเรียนมีความรู้สึกที่ดีต่อครู โรงเรียนและกระบวนการเรียนการสอน ย่อมก่อให้เกิดแรงจูงใจ
มีความมานะพยายาม ทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพ
5. องค์ประกอบเกี่ยวกับทางบ้าน มีความสัมพันธ์หรืออิทธิพลต่อชีวิตของเด็ก ตั้งแต่เล็กจนโต เด็กจะเป็นคนที่สมบูรณ์เพียงใด มีบุคลิกภาพอย่างไร สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขเพียงใดล้วนเกิดจากอิทธิพลทางบ้านทั้งสิ้น ดังนั้นสภาพแวดล้อมทางบ้านจะมีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
6. กระบวนการเรียนการสอน เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบ หลายองค์ประกอบ ได้แก่ผู้สอน ผู้เรียน โปรแกรมการเรียนการสอน ตลอดจนสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน องค์ประกอบเหล่านี้จะต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างดี จึงทำให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะตัวผู้เรียนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งเพราะว่าการเรียนการสอนไม่ว่าในระดับใดก็ตามจะดำเนินไปได้ด้วยดี และมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อผู้สอนได้
รู้จักและเข้าใจธรรมชาติของผู้เรียน
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
อนุสรณ์ สุชาตานนท์ (2536) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาและบุคลิกภาพประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่สอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นนักศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพลีลา เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร จำนวน 84 คน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05 มีบุคลิกภาพประชาธิปไตยหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
กนกพร แสงสว่าง (2541) ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการทำงานร่วมกัน ที่สอนโดยการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิกซอว์กับการสอนปกติ ในรายวิชา ส.305 โลกของเรา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 3 พบว่า (1) นักเรียนที่ได้รับการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิกซอว์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2) นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 และ (3) หลังจากนักเรียนได้รับการสอน โดยการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ นักเรียนมีพัฒนาการด้านทักษะ การทำงานร่วมกันสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
สุมาลี บัวเล็ก (2541 : บทคัดย่อ) ศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการสอนโดยใช้กระบวนการ การเรียนแบบร่วมมือ และการสอนตามคู่มือครู จากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2540 โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี จำนวน 80 คน โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบกึ่งทดลอง ใช้รูปแบบศึกษา กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม วัดก่อน-หลัง การทดลอง ผู้วิจัยจัดกลุ่มทดลองโดยจัดนักเรียนเข้ากลุ่มโดยมีสมาชิกกลุ่มละ 4 คน ประกอบด้วย นักเรียนที่มีผลการเรียนแตกต่างกัน คือ เด็กเรียนเก่ง 1 คน เด็กเรียนปานกลาง 2 คน เด็กเรียนอ่อน 1 คน สำหรับกลุ่มควบคุมจัดนักเรียนเข้ากลุ่มตามความสมัครใจ ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการสอนโดยใช้กระบวนการเรียนแบบร่วมมือกับที่ได้รับการสอนตามคู่มือครูแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการสอนโดยใช้กระบวนการเรียนแบบร่วมมือกับที่ได้รับการสอนตาม คู่มือครู แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น